ฉลากโภชนาการ
ฉลากโภชนาการจะต้องแสดงข้อมูลทางโภชนาการของอาหารชนิดนั้น
ๆ กำกับไว้ เพื่อให้ผู้บริโภคได้เลือกรับประทานตามความเหมาะสม
และความต้องการทางสภาวะโภชนาการของตัวเองได้
แต่ทั้งนี้กฎหมายก็ยังไม่มีการบังคับให้ผู้ผลิตอาหารต้องแจกแจงหลักโภชนาการบนฉลากอาหารทุกชนิด
เพียงแต่มีข้อบังคับสำหรับอาหารที่มีการอวดอ้างสรรพคุณทางโภชนาการให้ต้องแสดงฉลากโภชนาการแปะเอาไว้ด้วย
เพื่อป้องกันไม่ให้ผู้บริโภคหลงกล
ในกรณีที่ผู้ผลิตอาหารอวดอ้างสรรพคุณทางโภชนาการเกินจริง
วิธีอ่านฉลากโภชนาการสำหรับอาหารไทย
เรียงตามฉลากโภชนาการบนผลิตภัณฑ์
สามารถแยกแยะตามหัวข้อโภชนาการหลัก ๆ ได้ดังนี้
1. หนึ่งหน่วยบริโภค บอกให้เราทราบว่าผู้ผลิตแนะนำให้เรารับประทานอาหารชนิดนั้นต่อครั้งในปริมาณเท่าไร
ยกตัวอย่างเช่น นม 1 กล่อง บรรจุ 220 มิลลิลิตร
หากบนฉลากระบุไว้ว่า "หนึ่งหน่วยบริโภค: 1 กล่อง (220 มล.) หมายความว่า นมกล่องนั้นควรกินให้หมดภายในครั้งเดียว
แต่หากเป็นนมขวดใหญ่ ขนาดบรรจุ 1,000 มล.
ฉลากโภชนาการอาจระบุไว้ว่า "หนึ่งหน่วยบริโภค: 200 มล."
แปลได้ว่า เราสามารถแบ่งกินนมขวดนั้นได้ถึง 5 ครั้ง
2. คุณค่าทางโภชนาการต่อหนึ่งหน่วยบริโภค คุณค่าทางโภชนาการต่อหนึ่งหน่วยบริโภค
ที่จะบอกเราว่า หากเรารับประทานอาหารชนิดนั้นตามหนึ่งหน่วยบริโภคที่ระบุไว้
เราจะได้รับคุณค่าทางสารอาหารจากชนิดใด ในปริมาณเท่าไรบ้าง
ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไปเชื่อมโยงกับร้อยละของปริมาณที่แนะนำต่อวัน
3. ร้อยละของปริมาณที่แนะนำต่อวัน คุณค่าทางโภชนาการที่อาหารชนิดนี้ให้เราจะคิดเป็นร้อยละของปริมาณที่แนะนำต่อวันได้เท่าไร
ยกตัวอย่างเช่น
หากฉลากระบุไว้ว่าหนึ่งหน่วยบริโภคของอาหารนี้ให้ปริมาณไขมันคิดเป็น 15% ของปริมาณที่แนะนำต่อวัน แสดงว่ากินอาหารชนิดนี้แล้วได้ไขมันเพียงแค่ 15%
ส่วนไขมันอีก 85% ที่เหลือเราต้องไปรับเอาจากอาหารชนิดอื่น
ๆ แทน
อย่างไรก็ดี
คุณอาจจะสังเกตเห็นได้ว่า สารอาหารบางประเภท เช่น น้ำตาล ใยอาหาร โปรตีน
วิตามินและเกลือแร่ อาจจะบอกเพียงปริมาณต่อหน่วยบริโภค หรือเปอร์เซ็นต์เท่านั้น
แต่ไม่ได้บอกปริมาณกรัม หรือมิลลิกรัมที่ควรได้รับให้เห็นชัดเจน
นั่นก็เป็นเพราะว่า สารอาหารเหล่านี้มีความไม่แน่นอนสูง
เนื่องจากมีหลายชนิดแถมยังมีคุณภาพแตกต่างกัน
ดังนั้นจึงไม่สามารถระบุเป็นร้อยละของปริมาณที่แนะนำต่อวันที่ชัดเจนได้
ส่วนน้ำตาลถือว่าเป็นคาร์โบไฮเดรตชนิดหนึ่ง
ซึ่งก็ระบุในส่วนของคาร์โบไฮเดรตอยู่แล้ว
นอกจากนี้
ในฉลากยังมีข้อความระบุต่อด้วยว่า *
ร้อยละของปริมาณสารอาหารที่แนะนำให้บริโภคต่อวันสำหรับคนไทยอายุตั้งแต่ 6 ปีขึ้นไป (Thai RDI) โดยคิดจากความต้องการพลังงานวันละ
2,000 กิโลแคลอรี
4. ความต้องการพลังงานของแต่ละบุคคล ส่วนสุดท้ายจะเป็นการให้ข้อมูลเรื่องความต้องการพลังงานของแต่ละบุคคล
ซึ่งจะเขียนเหมือนกันทุกผลิตภัณฑ์ ว่า
ความต้องการพลังงานของแต่ละบุคคลแตกต่างกัน
ผู้ที่ต้องการพลังงานวันละ 2,000 กิโลแคลอรี่ควรได้รับสารอาหารต่าง ๆ ดังนี้
ไขมันทั้งหมด
น้อยกว่า 65 ก.
ไขมันอิ่มตัว
น้อยกว่า 20 ก.
คอเลสเตอรอล
น้อยกว่า 300 มก.
คาร์โบไฮเดรตทั้งหมด 300 ก.
ใยอาหาร 25 ก.
โซเดียม น้อยกว่า 2,400 มก.
พลังงาน
(กิโลแคลอรี) ต่อกรัม : ไขมัน = 9 ; โปรตีน = 4 ;
คาร์โบไฮเดรต
แม้ว่าฉลากจะบอกเพียงสารอาหารทั้งหมดที่แฝงอยู่ในอาหารชนิดนั้น
ๆ หรืออาจจะมีคำเตือนเล็ก ๆ ให้กินแต่น้อย และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ
แต่เพื่อสุขภาพและรูปร่างที่ดี พร้อมกับเลี่ยงโรคร้ายไปด้วยในตัว ควรพิจารณาความเหมาะสมในการบริโภค
โดยเช็คจากข้อมูลโภชนาการที่ระบุไว้บนฉลากตามนี้
1.
เช็คพลังงานที่จะได้รับต่อหนึ่งหน่วยบริโภค
2. เช็คว่าหนึ่งหน่วยบริโภคให้ปริมาณไขมัน
และไขมันอิ่มตัวเท่าไร หากไขมันอิ่มตัวเกิน 20 กรัมต่อวัน ควรหลีกเลี่ยง
เพราะไขมันอิ่มตัวมีปริมาณเกินมาตรฐานที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน
และอาจส่งผลให้คอเลสเตอรอลสูง เป็นตัวการพาโรคหลอดเลือดหัวใจ และโรคร้ายต่าง ๆ
3. เช็คปริมาณน้ำตาล
หากเกิน 24 กรัม (6 ช้อนชา) ต่อหนึ่งหน่วยบริโภค ถือว่าเกินขีดจำกัดของร่างกาย
อาจเป็นสาเหตุของโรคอ้วน เบาหวาน และโรคร้ายอีกสารพัด
4. เช็คปริมาณโซเดียม
เลือกกินอาหารที่ให้โซเดียมไม่เกิน 2,300 มิลลิกรัม เพื่อเลี่ยงโรคไต และโรคความดันโลหิตสูง
วิธีอ่านฉลากโภชนาการสำหรับอาหารต่างประเทศ
1. หนึ่งหน่วยบริโภค ส่วนนี้บอกข้อมูลเหมือนฉลากโภชนาการอาหารของบ้านเรา
ที่ระบุปริมาณที่ควรกินต่อครั้ง แต่อาหารบางชนิดอาจระบุมาด้วยว่า ควรแบ่งกินกี่คน
หรือกี่ครั้งใน 1
แพคนั้น
2.
ปริมาณแคลอรี่ ฉลากส่วนที่ 2 เป็นข้อมูลที่ระบุชัดเจนถึงจำนวนแคลอรี่ที่เราจะได้รับต่อการกินอาหารชนิดนี้ในหนึ่งหน่วยบริโภค
พ่วงด้วยปริมาณไขมันอิ่มตัวที่จะได้รับต่อหนึ่งหน่วยบริโภค
3.
ร้อยละของสารอาหารที่ควรได้รับต่อวัน ในส่วนนี้ของฉลากก็คล้ายคลึงกับฉลากของบ้านเรา
ที่จะนำคุณค่าทางโภชนาการของอาหารชนิดนี้มาคิดเป็นร้อยละของสารอาหารที่ควรได้รับต่อวัน
เพียงแต่อาจจะมีชนิดของไขมันทรานส์ ระบุเพิ่มเข้ามาอีกหนึ่งอย่าง
เนื่องจากเป็นกฎหมายของทางกรมการอาหารและยา ประเทศสหรัฐอเมริกา
ที่กำหนดให้ผู้ผลิตอาหารต้องชี้แจงปริมาณไขมันทรานส์
ของอาหารให้ประชาชนได้รู้อย่างชัดเจน
เพราะความกังวลในเรื่องของสุขภาพของชาวอเมริกันที่มีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้น
4. ปริมาณสารอาหารสำคัญที่ร่างกายควรได้รับต่อวัน เช่น เกลือแร่ ใยอาหาร
วิตามินต่าง ๆ เหล็ก และแคลเซียมคิดเป็นร้อยละเท่าไร โดยหากอาหารที่เรากินให้ปริมาณสารอาหารสำคัญได้เพียงเล็กน้อย
เราก็ต้องรับประทานอาหารชนิดอื่น ๆ
เพื่อให้ได้คุณค่าทางโภชนาการที่เหมาะสมกับความต้องการของร่างกายจากอาหารชนิดอื่น
ๆ เพิ่มเติมอีก
5. ร้อยละปริมาณสารอาหารที่ควรบริโภคต่อวัน เปรียบเทียบกับความต้องการมาตรฐานโดยคิดจากความต้องการพลังงาน
2,000-2,500 กิโลแคลอรี่ แบ่งตามเพศหญิง และเพศชาย
ซึ่งจะระบุข้อมูลเอาไว้ว่า
อาหารชนิดนี้จะให้สารอาหารคิดเป็นพลังงานได้กี่กิโลแคลอรี่
แต่ทั้งนี้อาจจะต้องดูตามความเหมาะสมของสภาวะโภชนาการของร่างกาย เพราะอาจจะต้องเพิ่ม
หรือลดหลั่นกันไปในแต่ละบุคคล
6. สรุปร้อยละคุณค่าทางโภชนาการที่ควรได้รับต่อวัน ว่าอาหารชนิดนี้สามารถให้คุณค่าทางโภชนาการกับคุณได้มากน้อยขนาดไหน
ซึ่งหากต่ำกว่า 5% ก็ถือว่าเป็นอัตราคุณค่าทางโภชนาการที่ค่อนข้างต่ำ
แต่หากให้คุณค่าทางโภชนาการเกิน 20% ขึ้นไป ก็จัดว่าให้คุณค่าทางโภชนาการในระดับที่สูง
อย่างไรก็ดี
การอ่านฉลากโภชนาการให้เป็นก็ทำให้เราได้รู้รายละเอียดของอาหาร
รวมทั้งสามารถตีความได้ว่าภายใต้แพคเกจสวย ๆ หน้าตาอาหารดี ๆ
นั้นซ่อนสิ่งใดไว้บ้าง ซึ่งก็นับว่าเป็นจุดเริ่มต้นที่ได้เปรียบของการมีสุขภาพดี
ห่างไกลโรคภัยอีกหลายชนิด
นอกจากนี้การอ่านฉลากโภชนาการให้เป็นยังช่วยให้ผู้ป่วยโรคเบาหวานหรือคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงแคลอรี่สูงสามารถระมัดระวังเรื่องอาหารการกินของตัวเองได้อย่างแม่นยำขึ้นด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น